- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์
- รายละเอียดสถานการณ์ผลิดและการตลาด
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 7-13 สิงหาคม 2563
ข้าว
1) สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63
มติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16
ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2 จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และรอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่
(นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตร
แบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์
(6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่
ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map)
(9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย (10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
รถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพ
การเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว
และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิต
ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ วงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว
ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพ
อยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นรวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อยอัตราไร่ละ 500 บาทครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูก
ที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้วเว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,582 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,596 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.10
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,119 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 8,997 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.36
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 32,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,950 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,018 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,414 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,019 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,460 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.10 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 46 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 498 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,368 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 483 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,912 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.11 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 456 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 482 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,874 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 470 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,511 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.55 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 363 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 505 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,584 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 489 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,097 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.27 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 487 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.8586 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
เมียนมา : สหพันธ์ข้าวเมียนมาเปิดเผยว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ช่วงต้นปีงบประมาณ 2562/63 ถึงวันที่ 17 กรกฎาคม 2563 เมียนมาส่งออกข้าวและข้าวหักรวมแล้วกว่า 2.25 ล้านตัน
นายอู มยิน ลวีน รองประธานกรรมการบริหารของสหพันธ์กล่าวกับสำนักข่าวซินหัว คาดว่าจะบรรลุเป้าหมายการส่งออกข้าว 2.4 ล้านตัน ในปีงบประมาณปัจจุบัน ซึ่งจะสิ้นสุดในอีก 2 เดือนข้างหน้า
สหพันธ์ฯ เผยข้อมูลที่ระบุว่า เมียนมาส่งออกข้าวกว่า 1.4 ล้านตัน และข้าวหัก 839,956 ตัน คิดเป็นรายได้กว่า 678.29 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 21,000 ล้านบาท) ซึ่งการส่งออกข้าวและข้าวหักของปีงบประมาณนี้มากกว่าปีงบประมาณที่แล้ว ที่ส่งออกข้าวและข้าวหักได้กว่า 1.8 ล้านตัน หรือมากกว่า 355,874 ตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณที่แล้ว โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณนี้ ร้อยละ 85.12 ของยอดการส่งออกข้าวทั้งหมดดำเนินการผ่านทางทะเล ขณะที่ร้อยละ 14.88 ขนส่งผ่านทางประตูชายแดน นอกจากนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว ข้าวและข้าวหักของเมียนมาประมาณร้อยละ 30.20 ส่งออกไปยังประเทศในทวีปแอฟริกา รองลงมาคือ จีนร้อยละ 27 และสหภาพยุโรปร้อยละ 20.45
ที่มา : xinhuathai.com
กัมพูชา : นายแวง สาคอน (Veng Sakhon) รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรของกัมพูชา เผยว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2563 กัมพูชาส่งออกข้าวขาวรวม 426,073 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 จากในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ส่งออกได้ 308,013 ตัน
จีนยังคงเป็นผู้ซื้อข้าวกัมพูชารายใหญ่ที่สุด โดยช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2563 กัมพูชาส่งออกข้าวขาวไปจีน 155,327 ตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 26
รัฐมนตรีฯ กล่าวว่า กัมพูชาส่งข้าวไปยังตลาดยุโรป 144,247 ตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 38 และส่งข้าวไปยังตลาดอาเซียน (ASEAN) 57,064 ตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 44 ทั้งนี้ การส่งออกข้าวของกัมพูชาไปยังจุดหมายปลายทางทุกแห่งในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2563 ดีขึ้น โดยกัมพูชาส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศและภูมิภาคต่างๆ รวม 57 แห่ง
นายงิน ชัย (Ngin Chhay) อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตร กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ผลักดันให้เกิดความต้องการซื้อข้าวกัมพูชามากขึ้น และคาดว่าในปีนี้ กัมพูชาจะสามารถส่งออกข้าวไปยังตลาดต่างประเทศได้ถึง 800,000 ตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ส่งออกได้ 620,106 ตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 29
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรกัมพูชาเผยว่า เมื่อปี 2562 กัมพูชาผลิตข้าวรวม 10 ล้านตัน ทำให้กัมพูชามีข้าวเปลือกส่วนเกินราว 5.6 ล้านตัน ซึ่งสามารถนำไปสีเป็นข้าวขาวได้ประมาณ 3.5 ล้านตัน
ที่มา : xinhuathai.com
อิหร่าน
กระทรวงเกษตรและกิจการจีฮัดอิหร่าน ได้ยกเลิกประกาศการจำกัดพื้นที่ปลูกข้าวในฤดูกาลผลิต 2563/64 เป็นการชั่วคราว เนื่องจากพบว่าปริมาณน้ำฝนในปีนี้มีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น จากเดิมที่อนุญาตให้เพาะปลูกได้เฉพาะในพื้นที่ 2 จังหวัดในตอนเหนือของประเทศ คือ จังหวัดกีลาน และจังหวัดมาชานดารานเท่านั้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้งเมื่อปีนี้ผ่านมา
การยกเลิกข้อจำกัดพื้นที่ปลูกข้าวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากผลการสำรวจของกระทรวงเกษตรอิหร่านพบว่า
ในฤดูกาลผลิต 2563/64 นี้ หลายจังหวัดของอิหร่านมีปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอต่อการเพาะปลูกสินค้าเกษตร จึงเป็นการเหมาะสมหากเกษตรกรจะหันมาขยายกิจกรรมการปลูกข้าวเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนด้านเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย เงินกู้ยืมในการเช่าซื้อเครื่องจักรทางการเกษตร รวมถึงข้อแนะนำที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การประกาศข้อห้ามในการจำกัดพื้นที่ปลูกข้าวดังกล่าวของคณะกรรมการบริหารการทรัพยากรน้ำของอิหร่าน มีการบังคับใช้ในฤดูกาลผลิต 2562/63
ซึ่งเบื้องต้นให้มีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 3 ปี โดยห้ามเกษตรกรในพื้นที่นอกเหนือจาก 2 จังหวัดที่อนุญาตข้างต้นปลูกข้าว หากเกษตรกรรายใดฝ่าฝืนจะไม่ได้รับการอุดหนุนและความช่วยเหลือใดๆ จากภาครัฐ ยกเว้นการเพาะปลูกพืชทดแทนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ข้าว
ทั้งนี้ อิหร่านประสบปัญหาเรื่องน้ำมาเป็นเวลากว่า 50 ปี โดยข้อมูลจากหน่วยงานทรัพยากรทางธรรมชาติของอิหร่านระบุว่า ปัจจุบันอิหร่านมีปริมาณน้ำจืดสำรองทั่วประเทศเพียง 110 ล้านคิวบิกเมตร ในขณะที่ปริมาณความต้องการใช้น้ำสูงสุดของประชากรอยู่ที่ประมาณ 82 ล้านคิวบิกเมตร คิดเป็นร้อยละ 90 ของปริมาณน้ำจืดสำรองทั้งหมด โดยมีสาเหตุจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอัตราการขยายตัวของจำนวนประชากรที่สูงขึ้น ภาคส่วนที่มีการใช้น้ำมากที่สุดของอิหร่าน คือ ภาคเกษตรกรรมใช้น้ำถึงร้อยละ 92 ของปริมาณสำรอง แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการเกษตรที่ล้าหลังส่งผลให้การใช้น้ำของเกษตรกรส่วนใหญ่มีความสิ้นเปลืองถึงร้อยละ 70 กล่าวคือ จากจำนวนร้อยเปอร์เซ็นต์ของการใช้น้ำ เกษตรกรอิหร่านใช้ประโยชน์จากน้ำอย่างคุ้มค่าหรือมีประสิทธิภาพสูงสุดเพียงร้อยละ 30 ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานเฉลี่ยของการใช้น้ำในภาคเกษตรกรรมทั่วโลก
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรของอิหร่านพยายามแนะนำให้รัฐบาลประกาศใช้ข้อบังคับการจำกัดพื้นที่เพาะปลูกข้าวมาโดยตลอด โดยเสนอให้มีการเพาะปลูกเฉพาะในจังหวัดที่มีปริมาณน้ำเพียงพอ และห้ามการเพาะปลูกในจังหวัดที่ขาดแคลนปริมาณน้ำฝนและน้ำใต้ดิน ซึ่งปัจจุบันมีมากถึง 8 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ โดยลักษณะทางภูมิศาสตร์แล้ว อิหร่านจัดเป็นประเทศในเขตร้อนแห้งที่ในแต่ละปีมีปริมาณฝนตกค่อนข้างน้อย การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆ ทั่วประเทศลดลงอย่างเห็นได้ชัด การใช้น้ำเพื่อการเกษตรจึงจำเป็นต้องประหยัดและจำกัดปริมาณลง
จากข้อมูลทางการของอิหร่านพบว่า ในฤดูกาลผลิต 2562/63 ที่ผ่านมา อิหร่านสามารถผลิตข้าวได้ปริมาณ 2.9 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 45 จากฤดูกาลผลิต 2561/62 ที่มีปริมาณ 1.96 ล้านตัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการขยายพื้นที่เพาะปลูกที่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 38 จากเดิม 580,000 เฮกตาร์ (ประมาณ 3.625 ล้านไร่) เป็น 840,000 เฮกตาร์ (ประมาณ 5.250 ล้านไร่) เพราะปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นหลังฝนตกหนังในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2562 โดยจังหวัดที่ผลิตข้าวได้สูงสุดในฤดูกาลผลิต 2562/63 ประกอบด้วย จังหวัดมาชานดาราน ผลิตได้ร้อยละ 38 ของผลผลิตทั่วประเทศ รองลงมา ได้แก่ จังหวัดกีลาน ผลิตได้ร้อยละ 33 จังหวัดคุซสถาน ผลิตได้ร้อยละ 11 จังหวัดฟารส์ และจังหวัดโกเลสถาน ผลิตได้จังหวัดละร้อยละ 4 และที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 10 กระจัดกระจายไปยังจังหวัดอื่นๆ
จากข้อมูลล่าสุดของศูนย์ข้อมูลสถิติแห่งชาติอิหร่าน พบว่า ในปี 2562 ชาวอิหร่านบริโภคข้าวโดยเฉลี่ยประมาณ 35 กิโลกรัมต่อคน เป็นการบริโภคข้าวที่ผลิตในประเทศประมาณ 1.33 ล้านตัน และนำเข้าข้าวจากต่างประเทศประมาณ 1.3 ล้านตัน ซึ่งหากนำมาคำนวณกับปริมาณผลผลิตข้าวที่ผลิตได้ในประเทศแล้วจะพบว่า ค่อนข้างเพียงพอต่อความต้องการ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติพบว่าอิหร่านยังมีความจำเป็นต้องนำเข้าข้าวจากต่างประเทศเพื่อรักษาสมดุลและสำรองด้านความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งจากข้อมูลปี 2562 พบว่า อิหร่านนำเข้าข้าวจากต่างประเทศปริมาณ 1.65 ล้านตัน โดยกว่าร้อยละ 70 นำเข้าจากประเทศอินเดีย และปากีสถาน ที่เหลือเป็นการนำเข้าจากสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ไทย ตุรกี และอิรัก ตามลำดับ
อิหร่านเป็นประเทศที่บริโภคข้าวเป็นอาหารหลักเช่นเดียวกับประเทศไทย โดยในแต่ละปีอิหร่านมีความต้องการบริโภคข้าวประมาณ 3.2 ล้านตัน ด้วยผลผลิตภายในประเทศที่ไม่แน่นอนในแต่ละปีในขณะที่ความต้องการภายในประเทศเติบโตในอัตราร้อยละ 1.2 ต่อปี ดังนั้น อิหร่านจึงจำเป็นต้องนำเข้าข้าวจากต่างประเทศไม่ต่ำกว่าปีละประมาณ 1.2-1.5 ล้านตัน ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าในช่วงปี 2563-2565 ผลผลิตข้าวของอิหร่านจะยังคงมีปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ เนื่องจากมีพื้นที่เพาะปลูกจำกัด และผลผลิตต่อเฮกตาร์เพียง 4.2 ตันเท่านั้น ดังนั้น ไทยยังคงมีโอกาสเข้ามาขยายส่วนแบ่งตลาดข้าวในอิหร่านได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจต้องทำความตกลงความร่วมมือกับหน่วยงานด้านมาตรฐานสินค้าและด้านการเกษตรของอิหร่าน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าไทยให้กับผู้บริโภคอิหร่านต่อไป
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63
มติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 และมติที่ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16
ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2 จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และรอบที่ 2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่
(นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตร
แบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์
(6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่
ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map)
(9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย (10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
รถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพ
การเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว
และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว | ราคาประกันรายได้ | ครัวเรือนละไม่เกิน |
(บาท/ตัน) | (ตัน) | |
ข้าวเปลือกหอมมะลิ | 15,000 | 14 |
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ | 14,000 | 16 |
ข้าวเปลือกเจ้า | 10,000 | 30 |
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี | 11,000 | 25 |
ข้าวเปลือกเหนียว | 12,000 | 16 |
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิต
ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ วงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว
ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพ
อยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นรวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อยอัตราไร่ละ 500 บาทครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูก
ที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้วเว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,582 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,596 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.10
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,119 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 8,997 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.36
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 32,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,950 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,018 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,414 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,019 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,460 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.10 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 46 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 498 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,368 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 483 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,912 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.11 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 456 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 482 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,874 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 470 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,511 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.55 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 363 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 505 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,584 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 489 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,097 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.27 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 487 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.8586 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
เมียนมา : สหพันธ์ข้าวเมียนมาเปิดเผยว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ช่วงต้นปีงบประมาณ 2562/63 ถึงวันที่ 17 กรกฎาคม 2563 เมียนมาส่งออกข้าวและข้าวหักรวมแล้วกว่า 2.25 ล้านตัน
นายอู มยิน ลวีน รองประธานกรรมการบริหารของสหพันธ์กล่าวกับสำนักข่าวซินหัว คาดว่าจะบรรลุเป้าหมายการส่งออกข้าว 2.4 ล้านตัน ในปีงบประมาณปัจจุบัน ซึ่งจะสิ้นสุดในอีก 2 เดือนข้างหน้า
สหพันธ์ฯ เผยข้อมูลที่ระบุว่า เมียนมาส่งออกข้าวกว่า 1.4 ล้านตัน และข้าวหัก 839,956 ตัน คิดเป็นรายได้กว่า 678.29 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 21,000 ล้านบาท) ซึ่งการส่งออกข้าวและข้าวหักของปีงบประมาณนี้มากกว่าปีงบประมาณที่แล้ว ที่ส่งออกข้าวและข้าวหักได้กว่า 1.8 ล้านตัน หรือมากกว่า 355,874 ตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณที่แล้ว โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณนี้ ร้อยละ 85.12 ของยอดการส่งออกข้าวทั้งหมดดำเนินการผ่านทางทะเล ขณะที่ร้อยละ 14.88 ขนส่งผ่านทางประตูชายแดน นอกจากนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว ข้าวและข้าวหักของเมียนมาประมาณร้อยละ 30.20 ส่งออกไปยังประเทศในทวีปแอฟริกา รองลงมาคือ จีนร้อยละ 27 และสหภาพยุโรปร้อยละ 20.45
ที่มา : xinhuathai.com
กัมพูชา : นายแวง สาคอน (Veng Sakhon) รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรของกัมพูชา เผยว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2563 กัมพูชาส่งออกข้าวขาวรวม 426,073 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 จากในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ส่งออกได้ 308,013 ตัน
จีนยังคงเป็นผู้ซื้อข้าวกัมพูชารายใหญ่ที่สุด โดยช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2563 กัมพูชาส่งออกข้าวขาวไปจีน 155,327 ตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 26
รัฐมนตรีฯ กล่าวว่า กัมพูชาส่งข้าวไปยังตลาดยุโรป 144,247 ตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 38 และส่งข้าวไปยังตลาดอาเซียน (ASEAN) 57,064 ตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 44 ทั้งนี้ การส่งออกข้าวของกัมพูชาไปยังจุดหมายปลายทางทุกแห่งในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2563 ดีขึ้น โดยกัมพูชาส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศและภูมิภาคต่างๆ รวม 57 แห่ง
นายงิน ชัย (Ngin Chhay) อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตร กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ผลักดันให้เกิดความต้องการซื้อข้าวกัมพูชามากขึ้น และคาดว่าในปีนี้ กัมพูชาจะสามารถส่งออกข้าวไปยังตลาดต่างประเทศได้ถึง 800,000 ตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ส่งออกได้ 620,106 ตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 29
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรกัมพูชาเผยว่า เมื่อปี 2562 กัมพูชาผลิตข้าวรวม 10 ล้านตัน ทำให้กัมพูชามีข้าวเปลือกส่วนเกินราว 5.6 ล้านตัน ซึ่งสามารถนำไปสีเป็นข้าวขาวได้ประมาณ 3.5 ล้านตัน
ที่มา : xinhuathai.com
อิหร่าน
กระทรวงเกษตรและกิจการจีฮัดอิหร่าน ได้ยกเลิกประกาศการจำกัดพื้นที่ปลูกข้าวในฤดูกาลผลิต 2563/64 เป็นการชั่วคราว เนื่องจากพบว่าปริมาณน้ำฝนในปีนี้มีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น จากเดิมที่อนุญาตให้เพาะปลูกได้เฉพาะในพื้นที่ 2 จังหวัดในตอนเหนือของประเทศ คือ จังหวัดกีลาน และจังหวัดมาชานดารานเท่านั้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้งเมื่อปีนี้ผ่านมา
การยกเลิกข้อจำกัดพื้นที่ปลูกข้าวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากผลการสำรวจของกระทรวงเกษตรอิหร่านพบว่า
ในฤดูกาลผลิต 2563/64 นี้ หลายจังหวัดของอิหร่านมีปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอต่อการเพาะปลูกสินค้าเกษตร จึงเป็นการเหมาะสมหากเกษตรกรจะหันมาขยายกิจกรรมการปลูกข้าวเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนด้านเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย เงินกู้ยืมในการเช่าซื้อเครื่องจักรทางการเกษตร รวมถึงข้อแนะนำที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การประกาศข้อห้ามในการจำกัดพื้นที่ปลูกข้าวดังกล่าวของคณะกรรมการบริหารการทรัพยากรน้ำของอิหร่าน มีการบังคับใช้ในฤดูกาลผลิต 2562/63
ซึ่งเบื้องต้นให้มีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 3 ปี โดยห้ามเกษตรกรในพื้นที่นอกเหนือจาก 2 จังหวัดที่อนุญาตข้างต้นปลูกข้าว หากเกษตรกรรายใดฝ่าฝืนจะไม่ได้รับการอุดหนุนและความช่วยเหลือใดๆ จากภาครัฐ ยกเว้นการเพาะปลูกพืชทดแทนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ข้าว
ทั้งนี้ อิหร่านประสบปัญหาเรื่องน้ำมาเป็นเวลากว่า 50 ปี โดยข้อมูลจากหน่วยงานทรัพยากรทางธรรมชาติของอิหร่านระบุว่า ปัจจุบันอิหร่านมีปริมาณน้ำจืดสำรองทั่วประเทศเพียง 110 ล้านคิวบิกเมตร ในขณะที่ปริมาณความต้องการใช้น้ำสูงสุดของประชากรอยู่ที่ประมาณ 82 ล้านคิวบิกเมตร คิดเป็นร้อยละ 90 ของปริมาณน้ำจืดสำรองทั้งหมด โดยมีสาเหตุจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอัตราการขยายตัวของจำนวนประชากรที่สูงขึ้น ภาคส่วนที่มีการใช้น้ำมากที่สุดของอิหร่าน คือ ภาคเกษตรกรรมใช้น้ำถึงร้อยละ 92 ของปริมาณสำรอง แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการเกษตรที่ล้าหลังส่งผลให้การใช้น้ำของเกษตรกรส่วนใหญ่มีความสิ้นเปลืองถึงร้อยละ 70 กล่าวคือ จากจำนวนร้อยเปอร์เซ็นต์ของการใช้น้ำ เกษตรกรอิหร่านใช้ประโยชน์จากน้ำอย่างคุ้มค่าหรือมีประสิทธิภาพสูงสุดเพียงร้อยละ 30 ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานเฉลี่ยของการใช้น้ำในภาคเกษตรกรรมทั่วโลก
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรของอิหร่านพยายามแนะนำให้รัฐบาลประกาศใช้ข้อบังคับการจำกัดพื้นที่เพาะปลูกข้าวมาโดยตลอด โดยเสนอให้มีการเพาะปลูกเฉพาะในจังหวัดที่มีปริมาณน้ำเพียงพอ และห้ามการเพาะปลูกในจังหวัดที่ขาดแคลนปริมาณน้ำฝนและน้ำใต้ดิน ซึ่งปัจจุบันมีมากถึง 8 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ โดยลักษณะทางภูมิศาสตร์แล้ว อิหร่านจัดเป็นประเทศในเขตร้อนแห้งที่ในแต่ละปีมีปริมาณฝนตกค่อนข้างน้อย การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆ ทั่วประเทศลดลงอย่างเห็นได้ชัด การใช้น้ำเพื่อการเกษตรจึงจำเป็นต้องประหยัดและจำกัดปริมาณลง
จากข้อมูลทางการของอิหร่านพบว่า ในฤดูกาลผลิต 2562/63 ที่ผ่านมา อิหร่านสามารถผลิตข้าวได้ปริมาณ 2.9 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 45 จากฤดูกาลผลิต 2561/62 ที่มีปริมาณ 1.96 ล้านตัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการขยายพื้นที่เพาะปลูกที่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 38 จากเดิม 580,000 เฮกตาร์ (ประมาณ 3.625 ล้านไร่) เป็น 840,000 เฮกตาร์ (ประมาณ 5.250 ล้านไร่) เพราะปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นหลังฝนตกหนังในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2562 โดยจังหวัดที่ผลิตข้าวได้สูงสุดในฤดูกาลผลิต 2562/63 ประกอบด้วย จังหวัดมาชานดาราน ผลิตได้ร้อยละ 38 ของผลผลิตทั่วประเทศ รองลงมา ได้แก่ จังหวัดกีลาน ผลิตได้ร้อยละ 33 จังหวัดคุซสถาน ผลิตได้ร้อยละ 11 จังหวัดฟารส์ และจังหวัดโกเลสถาน ผลิตได้จังหวัดละร้อยละ 4 และที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 10 กระจัดกระจายไปยังจังหวัดอื่นๆ
จากข้อมูลล่าสุดของศูนย์ข้อมูลสถิติแห่งชาติอิหร่าน พบว่า ในปี 2562 ชาวอิหร่านบริโภคข้าวโดยเฉลี่ยประมาณ 35 กิโลกรัมต่อคน เป็นการบริโภคข้าวที่ผลิตในประเทศประมาณ 1.33 ล้านตัน และนำเข้าข้าวจากต่างประเทศประมาณ 1.3 ล้านตัน ซึ่งหากนำมาคำนวณกับปริมาณผลผลิตข้าวที่ผลิตได้ในประเทศแล้วจะพบว่า ค่อนข้างเพียงพอต่อความต้องการ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติพบว่าอิหร่านยังมีความจำเป็นต้องนำเข้าข้าวจากต่างประเทศเพื่อรักษาสมดุลและสำรองด้านความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งจากข้อมูลปี 2562 พบว่า อิหร่านนำเข้าข้าวจากต่างประเทศปริมาณ 1.65 ล้านตัน โดยกว่าร้อยละ 70 นำเข้าจากประเทศอินเดีย และปากีสถาน ที่เหลือเป็นการนำเข้าจากสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ไทย ตุรกี และอิรัก ตามลำดับ
อิหร่านเป็นประเทศที่บริโภคข้าวเป็นอาหารหลักเช่นเดียวกับประเทศไทย โดยในแต่ละปีอิหร่านมีความต้องการบริโภคข้าวประมาณ 3.2 ล้านตัน ด้วยผลผลิตภายในประเทศที่ไม่แน่นอนในแต่ละปีในขณะที่ความต้องการภายในประเทศเติบโตในอัตราร้อยละ 1.2 ต่อปี ดังนั้น อิหร่านจึงจำเป็นต้องนำเข้าข้าวจากต่างประเทศไม่ต่ำกว่าปีละประมาณ 1.2-1.5 ล้านตัน ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าในช่วงปี 2563-2565 ผลผลิตข้าวของอิหร่านจะยังคงมีปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ เนื่องจากมีพื้นที่เพาะปลูกจำกัด และผลผลิตต่อเฮกตาร์เพียง 4.2 ตันเท่านั้น ดังนั้น ไทยยังคงมีโอกาสเข้ามาขยายส่วนแบ่งตลาดข้าวในอิหร่านได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจต้องทำความตกลงความร่วมมือกับหน่วยงานด้านมาตรฐานสินค้าและด้านการเกษตรของอิหร่าน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าไทยให้กับผู้บริโภคอิหร่านต่อไป
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.61 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.07 ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.70 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.71 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 5.79 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.38
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.86 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.88 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.23 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.31 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.33 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.24
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 292.00 ดอลลาร์สหรัฐ (9,011 บาท/ตัน) ลดลงจากตันละ 292.40 ดอลลาร์สหรัฐ (9,027 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.14 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 16 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนกันยายน 2563 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 313.65 เซนต์ (3,864 บาท/ตัน) เพิ่มขึ้นจากบุชเชลละ 312.76 เซนต์ (3,855 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.28 และเพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 9 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2563 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.74 ล้านไร่ ผลผลิต 28.531 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.27 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.67 ล้านไร่ ผลผลิต 31.080 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.59 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.83 แต่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 8.20 และร้อยละ 8.95 ตามลำดับ โดยเดือนสิงหาคม 2563 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 0.50 ล้านตัน (ร้อยละ 1.76 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2563 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2563 ปริมาณ 18.40 ล้านตัน (ร้อยละ 64.50 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดลดลง และหัวมันสำปะหลังมีเชื้อแป้งต่ำ เนื่องจากมีฝนตกชุกและเป็นช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว สำหรับลานมันเส้นส่วนใหญ่เปิดดำเนินการ ส่วนโรงงานแป้งมันสำปะหลังเปิดดำเนินการไม่มาก
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.69 ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1.66 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.81
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.99 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.81 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 3.10
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.99 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 6.94 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.72
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.98 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 12.95 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.23
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้ไม่มีรายงาน
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้ไม่มีรายงาน
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2563 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนสิงหาคมจะมีประมาณ 1.367
ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.246 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.502 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.270 ล้านตัน ของเดือนกรกฎาคม คิดเป็นร้อยละ 8.99 และร้อยละ 8.89 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 3.70 บาท ลดลงจาก กก.ละ 3.71 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.27
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 20.25 บาท ลดลงจาก กก.ละ 20.30 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.25
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มมาเลเซียสูงขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันถั่วเหลืองและอินโดนีเซียมีผลผลิตลดลง ราคาอ้างอิง เดือนตุลาคม ตลาดเบอร์ซามาเลเซีย สูงขึ้น 2.79 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 2,763 ริงกิต ผลผลิตของอินโดนีเซียลดลง 8.9 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 23.5 ล้านตัน ในครึ่งปีแรก ผลมาจากช่วงหน้าแล้ง ซึ่งแตกต่างกับผลผลิตถั่วเหลืองของสหรัฐอเมริกาที่คาดว่าสูงขึ้นด้วยสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 2,852.76 ดอลลาร์มาเลเซีย (21.47 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 2,864.23 ดอลลาร์มาเลเซีย (21.45 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.40
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 703.75 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22.02 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 710.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22.23 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.88
หมายเหตุ: ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
- สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
ไม่มีรายงาน
- สรุปภาวการณ์ผลิตการตลาดและราคาในต่างประเทศ
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.50 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 16.00 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.13
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 884.44 เซนต์ (10.17 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 888.20 เซนต์ (10.22 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ0.42
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 283.30 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8.86 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 284.62 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8.91 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.46
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 31.44 เซนต์ (21.68 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 31.47 เซนต์ (21.72 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.10
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.50 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 16.00 บาท ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.13
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 884.44 เซนต์ (10.17 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 888.20 เซนต์ (10.22 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ0.42
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 283.30 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8.86 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 284.62 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8.91 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.46
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 31.44 เซนต์ (21.68 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 31.47 เซนต์ (21.72 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.10
ยางพารา
สับปะรด
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 24.59 บาท ลดลงจากราคากิโลกรัมละ 25.00 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.64
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 28.00 บาท ลดลงจากราคากิโลกรัมละ 29.00 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.45
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท สูงขึ้นจากราคากิโลกรัมละ 31.00 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.23
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 17.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.00 บาท ลดลงจากราคากิโลกรัมละ 40.00 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.00
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,070.25 ดอลลาร์สหรัฐ (33.03 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 1,068.80 ดอลลาร์สหรัฐ (33.00 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.14 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 939.75 ดอลลาร์สหรัฐ (29.00 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 971.20 ดอลลาร์สหรัฐ (29.98 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.24 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.98 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,070.25 ดอลลาร์สหรัฐ (33.03 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 1,036.60 ดอลลาร์สหรัฐ (32.00 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.25 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 1.03 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 580.75 ดอลลาร์สหรัฐ (17.92 บาท/กิโลกรัม) สูงขึ้นจากตันละ 580.20 ดอลลาร์สหรัฐ (17.91 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.09 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,259.50 ดอลลาร์สหรัฐ (38.87 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,323.00 ดอลลาร์สหรัฐ (40.85 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.80 และลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 1.98 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 39.17 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 45.00 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 12.96
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 22.95 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 27.96 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 17.92
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 60.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 56.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ฝ้าย
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนตุลาคม 2563 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 62.42 เซนต์(กิโลกรัมละ 43.06 บาท) ลดลงจากปอนด์ละ 63.81 เซนต์ (กิโลกรัมละ 44.05 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.18 (ลดลงในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 0.99 บาท)
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,828 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,730 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 5.66
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,458 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1,420 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.68
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 883 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตสุกรออกสู่ตลาดอยู่ในภาวะปกติใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคเนื้อสุกรที่มีไม่มากนัก แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 77.14 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 74.08 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.36 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 72.30 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 70.06 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 79.50 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 78.67 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,800 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 78.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ในสัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไก่เนื้อและชิ้นส่วนต่างๆของไก่ออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 34.80 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 34.78 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.06 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท กิโลกรัม ภาคกลาง กิโลกรัมละ 34.07 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 42.14 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 11.50 บาท ลดลงจากตัวละ 12.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 8.00
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
เนื่องจากปริมาณผลผลิตไข่ไก่ออกสู่ตลาดยังคงมีมากและสะสมจากที่ผ่านมา ขณะที่ความต้องการบริโภคไข่ไก่ลดลงเล็กน้อย แนวโน้มคาดว่าสัปดาห์หน้าราคาจะลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 286 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 292 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.05 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 293 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 275 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 288 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 325 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 338 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 337 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.30 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 350 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 347 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 318 บาท และภาคใต้ ร้อยฟองละ 350 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 94.41 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 94.56 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.16 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.57 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 97.51 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 86.97 บาท และภาคใต้ ไม่มีรายงานราคา
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 75.49 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 74.78 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.95 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.35 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 72.63 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 7 – 13 สิงหาคม 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 45.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.00 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 71.43 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.43 บาท
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 86.36 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 86.27 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.09 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 142.52 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 141.35 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.17 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 139.00 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 140.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.00 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.08 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 68.32 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.76 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.25 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 10.10 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.85 บาท
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 7 – 13 สิงหาคม 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 45.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 3.00 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 71.43 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.43 บาท
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 86.36 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 86.27 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.09 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 142.52 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 141.35 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.17 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 139.00 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 140.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.00 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.08 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 68.32 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.76 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.25 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 10.10 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.85 บาท
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา